พระราชาคณะฤกษ์ ในรัชกาลที่ ๔
"...ครั้นมาถึงเดือน ๙ จึงทรงพระราชดำริว่า อย่างธรรมเนียมโบราณ ตั้งการบรมราชาภิเษกและอุปราชาภิเษกเเล้ว ต้องตั้งพระราชาคณะเป็นฤกษ์ก่อน จึงจะได้ตั้งข้าราชการต่อไป จึงโปรดตั้ง
พระมหาศรี ซึ่งเป็น พระครูอโนมสาวัน ตำแหน่งคู่สวดอยู่ก่อน ขึ้นเป็นราชาคณะ ได้ชื่อว่า พระอโนมสิริมุนี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ) วัดปทุมคงคา |
ตั้ง มหาอยู่ ๘ ประโยค วัดอมรินทราราม เป็นที่ พระธรรมโกษา
มหาบัว เปรียญ ๗ ประโยค วัดรังษี เป็น พระวินัยมุนี
และในระหว่างนั้นก็ได้ตั้งเจ้าเเละขุนนาง และเลื่อนพระราชาคณะบ้าง จะต้องกล่าวพระเสียก่อน และเจ้านายเป็นที่ ๒ ขุนนางเป็นที่ ๓ ฟังจึ่งจะเข้าใจง่าย
ทรงตั้งกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ พระองค์นั้นเป็นอัจฉริยมนุษย์ บุรุษยรัตน์อันพิเศษ ทรงพระปรีชาฉลาดในพระพุทธศาสน์ พระราชศาสตร์แบบอย่างโบราณราชประเพณีต่างๆ และได้เป็นพระอุปัธยาจารย์ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้าในพระบรมมหาราชวัง พระบวรราชวังหลายพระองค์ ณ วันเดือน ๙ ขึ้น ๑ ค่ำ โปรดฯ ให้ยกพระที่นั่งกระยาสนานที่สรงเมื่อราชาภิเษกมาตั้ง แล้วสวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาเช้า เป็นวันสรงมณฑปกระยาสนาน
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส |
แล้วได้เพิ่มพระนามขึ้นจารึกในแผ่นสุพรรณบัฏใหม่ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาราชวรังกูร ปรเมนทรนเรนทรสูริย์ สัมมานาภิสักกาโรดมสถาน อริยสมศีลาจารพิเศษมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ ยุตมุตวาทีสุวิรมนุญ อดุลยคุณคณาธาร มโหฬารเมตยาภิธยาศรัย ไตรปิฎกกลาโกศล เบญจปดลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลกโลกุตตมมหาบัณฑิตย สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนตรัยคุณารักษ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาทิโลกปฏิพัทธพุทธบริษัทยเนตร สมณคณินทราธิเบศรสกลพุทธจักโรประการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนาถบพิตร เสด็จสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ในครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า "มหาสมณรามาภิเษก"
ในวันนั้นเลื่อนพระราชาคณะขึ้นอีก ๑๑ องค์ คือ
พระพิมลธรรม (อู่) เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ๑
พระธรรมอุดม (เซ่ง) เป็น สมเด็จพระวันรัต ๑
พระพุฒาจารย์ (สน) เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ๑
พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลก เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ไปอยู่วัดมหาธาตุฯ ๑
พระธรรมไตรโลก (จี่) วัดประยุรวงศาวาส เลื่อนเป็น พระพิมลธรรม ๑
พระพรหมมุนี (ถึก) วัดพระเชตุพน เลื่อนเป็น พระธรรมอุดม แปลงเป็น พระธรรมวโรดม ๑
พระญาณสมโพธิ์ (ยิ้ม) เป็น พระพรหมมุนี ๑
พระเทพกวี (รอด) วัดราชโอรส เป็น พระธรรมไตรโลก ๑
พระธรรมกิติ เป็น พระธรรมเจดีย์ ๑
มหาโต เปรียญ ๔ ประโยค ยก เป็น พระธรรมกิติ ๑
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี เปรียญ ๔ ยก) วัดระฆังฯ |
พระญาณไตรโลก (พุก) วัดมหาธาตุ เลื่อนชึ้นเป็น พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะใหญ่กรุงเก่า ๑
ตั้งพระวรวงศ์เธอชั้น ๒ ขึ้นอีกพระองค์ ๑ พระนามเดิม พระองค์เจ้าฤกษ์ ทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดฯ ตั้งให้เป็น กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธคณนายก พุทธศาสนดิลกบวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมบพิตร พระองค์ท่านนั้นก็แตกฉานในพระปริยัติธรรมและปฏิบัติเคร่งครัดตามพระวินัยบัญญัติ แล้วก็ทราบในโหราศาสตร์โดยมาก..."
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ |
ที่มาข้อมูล
๑. หนังสือ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔