วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

พระราชาคณะฤกษ์ ในรัชกาลที่ ๔



พระราชาคณะฤกษ์ ในรัชกาลที่ ๔

"...ครั้นมาถึงเดือน ๙ จึงทรงพระราชดำริว่า อย่างธรรมเนียมโบราณ ตั้งการบรมราชาภิเษกและอุปราชาภิเษกเเล้ว ต้องตั้งพระราชาคณะเป็นฤกษ์ก่อน จึงจะได้ตั้งข้าราชการต่อไป จึงโปรดตั้ง

พระมหาศรี ซึ่งเป็น พระครูอโนมสาวัน ตำแหน่งคู่สวดอยู่ก่อน ขึ้นเป็นราชาคณะ ได้ชื่อว่า พระอโนมสิริมุนี

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ) วัดปทุมคงคา

ตั้ง มหาอยู่ ๘ ประโยค วัดอมรินทราราม เป็นที่ พระธรรมโกษา
มหาบัว เปรียญ ๗ ประโยค วัดรังษี เป็น พระวินัยมุนี

และในระหว่างนั้นก็ได้ตั้งเจ้าเเละขุนนาง และเลื่อนพระราชาคณะบ้าง จะต้องกล่าวพระเสียก่อน และเจ้านายเป็นที่ ๒ ขุนนางเป็นที่ ๓ ฟังจึ่งจะเข้าใจง่าย

ทรงตั้งกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ พระองค์นั้นเป็นอัจฉริยมนุษย์ บุรุษยรัตน์อันพิเศษ ทรงพระปรีชาฉลาดในพระพุทธศาสน์ พระราชศาสตร์แบบอย่างโบราณราชประเพณีต่างๆ และได้เป็นพระอุปัธยาจารย์ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้าในพระบรมมหาราชวัง พระบวรราชวังหลายพระองค์ ณ วันเดือน ๙ ขึ้น ๑ ค่ำ โปรดฯ ให้ยกพระที่นั่งกระยาสนานที่สรงเมื่อราชาภิเษกมาตั้ง แล้วสวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน ครั้น ณ วันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาเช้า เป็นวันสรงมณฑปกระยาสนาน

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

แล้วได้เพิ่มพระนามขึ้นจารึกในแผ่นสุพรรณบัฏใหม่ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาราชวรังกูร ปรเมนทรนเรนทรสูริย์ สัมมานาภิสักกาโรดมสถาน อริยสมศีลาจารพิเศษมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ ยุตมุตวาทีสุวิรมนุญ อดุลยคุณคณาธาร มโหฬารเมตยาภิธยาศรัย ไตรปิฎกกลาโกศล เบญจปดลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลกโลกุตตมมหาบัณฑิตย สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนตรัยคุณารักษ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาทิโลกปฏิพัทธพุทธบริษัทยเนตร สมณคณินทราธิเบศรสกลพุทธจักโรประการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนาถบพิตร เสด็จสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ในครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า "มหาสมณรามาภิเษก"

ในวันนั้นเลื่อนพระราชาคณะขึ้นอีก ๑๑ องค์ คือ
พระพิมลธรรม (อู่) เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ๑
พระธรรมอุดม (เซ่ง) เป็น สมเด็จพระวันรัต ๑
พระพุฒาจารย์ (สน) เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ๑
พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลก เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ไปอยู่วัดมหาธาตุฯ ๑
พระธรรมไตรโลก (จี่) วัดประยุรวงศาวาส เลื่อนเป็น พระพิมลธรรม ๑
พระพรหมมุนี (ถึก) วัดพระเชตุพน เลื่อนเป็น พระธรรมอุดม แปลงเป็น พระธรรมวโรดม ๑
พระญาณสมโพธิ์ (ยิ้ม) เป็น พระพรหมมุนี ๑
พระเทพกวี (รอด) วัดราชโอรส เป็น พระธรรมไตรโลก ๑
พระธรรมกิติ เป็น พระธรรมเจดีย์ ๑
มหาโต เปรียญ ๔ ประโยค ยก เป็น พระธรรมกิติ ๑

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี เปรียญ ๔ ยก) วัดระฆังฯ

พระญาณไตรโลก (พุก) วัดมหาธาตุ เลื่อนชึ้นเป็น พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะใหญ่กรุงเก่า ๑

ตั้งพระวรวงศ์เธอชั้น ๒ ขึ้นอีกพระองค์ ๑ พระนามเดิม พระองค์เจ้าฤกษ์ ทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดฯ ตั้งให้เป็น กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธคณนายก พุทธศาสนดิลกบวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมบพิตร พระองค์ท่านนั้นก็แตกฉานในพระปริยัติธรรมและปฏิบัติเคร่งครัดตามพระวินัยบัญญัติ แล้วก็ทราบในโหราศาสตร์โดยมาก..."

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ที่มาข้อมูล
๑. หนังสือ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔




วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ลำดับ "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นราชทินนามของสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง ในคณะธรรมยุติกนิกาย

ความเป็นมา

ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์" มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ โดยที่ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระพิมลธรรม (ยัง เขมาภิรโต ป.ธ.๘) วัดโสมนัสวิหาร ขึ้นเป็น "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รูปแรก"

แต่เดิมมา ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จะแบ่งการปกครองคณะสงฆ์เป็น ๓ คณะ คือ คณะหนือ คณะใต้ และคณะอรัญวาสี โดยมีสมเด็จพระราชาคณะ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่

สมัยนั้น แต่ละคณะปกครองโดยไม่ขึ้นแก่กัน สำหรับคณะอรัญวาสีนั้น ไม่มีวัดขึ้นในปกครอง เพราะวัดอรัญวาสีที่อยู่ในฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ก็ขึ้นอยู่ในปกครองเจ้าคณะใหญ่นั้นๆ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะอรัญวาสีไว้

ในรัชกาลที่ ๓ ทรงตั้ง "คณะกลาง" ขึ้นเป็นคณะพิเศษ ขึ้นตรงต่อกรมหมื่นนุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ที่สมเด็จพระสังฆราช และสิ้นพระชนม์ในรัชกาลนั้น

ถึงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา หม่อมเจ้าพระพิมลธรรม (ทัต) วัดพระเชตุพนฯ เป็นที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง สืบต่อมา และยกเลิกตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะอรัญวาสี ซึ่งเดิมมี พระพุฒาจารย์ เป็นเจ้าคณะใหญ่ไปเสีย

สำหรับคณะธรรมยุต มีเจ้านายทรงปกครองในฐานะเจ้าคณะใหญ่ต่อเนื่องมา คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ มาจนถึงกลางรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ มาจนถึงปลายรัชกาลที่ ๖ ในคณะธรรมยุต จึงไม่มีตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่สำหรับคณะ

ฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาตำแหน่ง "สมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่" สำหรับคณะธรรมยุตขึ้นหนึ่งตำแหน่ง คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

โดยที่ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระพิมลธรรม (ยัง เขมาภิรโต ป.ธ.๘) วัดโสมนัสวิหาร ขึ้นเป็น "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รูปแรก" แต่โดยที่ขณะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตอยู่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จึงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นเจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกาย

เดิมที สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ราชทินนามไว้ว่า "สมเด็จพระธรรมวีรวงศ์" เเต่เมื่อนำไปปรึกษาพระพิมลธรรม (ยัง เขมาภิรโต ป.ธ.๘) ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานสถาปนา ท่านบอกว่า ไม่ค่อยชอบนามนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงแก้ไขเป็น "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์"


สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นับเเต่อดีต จนถึงปัจจุบันมี ๗ รูป คือ

รูปที่ ๑ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง เขมาภิรโต ป.ธ.๘)
วัดโสมนัสวิหาร พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๗๔

รูปที่ ๒ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส/แสนทวีสุข ป.ธ.๕)
วัดบรมนิวาส พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๙

รูปที่ ๓ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี/ศิริสม ป.ธ.๙)
วัดมกุฏกษัตริยาราม พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๘

รูปที่ ๔ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร/แสนทวีสุข ป.ธ.๖)
วัดพระศรีมหาธาตุ พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๗

รูปที่ ๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาโร/ทีปานุเคราะห์ ป.ธ.๙)
วัดราชผาติการาม พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๓๖

รูปที่ ๖ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ทิม อุฑาฒิโม/พันธุเลปนะ ป.ธ.๕)
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๕๓๖-๒๕๔๓

รูปที่ ๗ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร/ก่อบุญ ป.ธ.๙)
วัดสัมพันธวงศาราม พ.ศ. ๒๕๔๔-ปัจจุบัน

ที่มาข้อมูล
๑. หนังสือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๒. เพจ พัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

ตั้ง "พัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญยก" หน้าพระพิธีธรรม ทำไม ?


พัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญยก ที่ใช้ตั้งหน้าพระพิธีธรรม ติดกับตู้พระธรรมนั้น เรื่องนี้มีที่มาอย่างไรไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานว่า
"ในกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระศพ เป็นการส่วนพระองค์ พระสงฆ์ต้องถวายอดิเรก และพระสงฆ์ที่จะถวายอดิเรกได้นั้น ตั้งเป็นพระราชาคณะ และเนื่องจากสมัยก่อนพระราชาคณะมีน้อย เมื่อถึงคราวจำเป็นรีบด่วน อาจทำให้ไม่สามารถหาพัดยศได้ทัน จึงจัดพัดยศมาตั้งเตรียมไว้ 
เหตุที่ใช้พัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญยก ซึ่งเป็นพัดยศพระราชาคณะชั้นต้นนี้ เพราะมีธรรมเนียมว่า พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูง สามารถใช้พัดยศสมณศักดิ์ชั้นต่ำกว่าได้ แต่พระสงฆ์จะใช้พัดยศที่มีสมณศักดิ์สูงกว่าตนไม่ได้ 
ปัจจุบันนี้ พระราชาคณะมีจำนวนมาก ทั้งการติดต่อสื่อสารก็สะดวก เจ้าหน้าที่สามารถนิมนต์พระราชาคณะมาได้ทันท่วงที การตั้งพัดยศ จึงคงถือปฏิบัติไว้ตามธรรมเนียมเดิม และเป็นเอกลักษณ์ของงานหลวงอีกประการหนึ่งด้วย"

ที่มา : หนังสือ พระพิธีธรรม โดย กรมการศาสนา

พัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญยก
(ภาพโดยเพจ พัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย)
พระมหาปกรณ์ กิตฺติธโร ป.ธ.๙ วัดชนะสงคราม ให้เหตุผลไว้อีกว่า
"แต่เดิมพระพิธีธรรมไม่ได้เพียงเเต่สวดอภิธรรมเท่านั้น ยังมีหน้าที่สวดภาณวาร หรือสวดอาฏานา ในพิธีตรุษด้วย ภายหลังยกเลิกพิธีตรุษเเล้ว จึงเหลือเพียงสวดอภิธรรมเท่านั้น 
ดังนั้น ในสมัยก่อน จึงมีพระราชาคณะรูปหนึ่งไว้คอยตรวจทานบทสวด ต่อมาพระราชาคณะสำหรับตรวจทานได้ยกเลิกไป แต่พัดยศยังคงตั้งอยู่ที่ตู้พระอภิธรรมจนถึงทุกวันนี้"

ทำไม ต้องปักใจกลาง จปร ?

ภาพ ใจกลางพัดยศ พระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท นับว่าเป็น พัดยศพระครูสัญญาบัตร เพียงตำแหน่งเดียว ที่ปักใจกลางพัดเป็...